วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

17.แนวคิดและทฤษฎี Chester Barnard

แนวคิดและทฤษฎี Chester Barnard 
CHESTER BARNARD
แนวคิด
Barnard เป็นนักทฤษฎีสมัยปัจจุบัน โดยเขาได้ศึกษาวิเคราะห์องค์การในเชิงระบบตั้งแต่ปี ค..1938 แล้วนำมาเขียนหนังสือชื่อ “The Functions of the Executive” เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการบริหารองค์การในสมัยปัจจุบัน โดยเห็นว่าองค์การเป็นระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ ภายในระบบดังกล่าวจะมีความเกี่ยวพันที่ประสานกันโดยมีเป้าหมายของการตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล และเห็นว่าบุคคลแต่ละคน องค์การ ผู้ขาย และลูกค้า ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อม 
หลักการ
1.  เน้นความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ (Informal Organization)
2.  มีการกระจายความพึงพอใจของบุคลากรในองค์การออกไปอย่างเท่าเทียมกัน (The contribution satisfaction equilibrium) : โดยเห็นว่าการสื่อสารในองค์การเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างดุลภาพของความต้องการระหว่างบุคคลกับองค์การ (Inducement) เพื่อโน้มน้าวให้บุคคลทำงานด้วยความต้องการขององค์การ ในจุดที่องค์การต้องสร้างความพึงพอใจแก่บุคคลในการทำงานด้วย
3.  นักบริหารมีหน้าที่สำคัญ คือ
     -  ดูแลติดต่อประสานงานภายในองค์การ
     -  รักษาสมาชิกภายในและชักจูงสมาชิกใหม่
     -  กำหนดเป้าหมายขององค์การ และตีความเพื่อแสดงให้สมาชิกในองค์การได้รับรู้
     -  ใช้ศิลปะเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
     -  ทำงานด้วยความรับผิดชอบ โดยใช้หลักของศีลธรรม
เครื่องมือนี้คืออะไร/ มีองค์ประกอบอะไร
ชื่อทฤษฎี : องค์การไม่เป็นทางการ (Informal Organization)
        เป็นทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรม เป็นระบบความร่วมมือของมนุษย์ในการทำกิจกรรม โดยเน้นปัจจัยสำคัญด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรบรรลุเป้าหมายจะทำให้เกิดความร่วมมือจากบุคลากร โดยมุ่งองค์กรเป็นระบบการสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย
     1. ความสำคัญของพฤติกรรมมนุษย์ (Importance of individual behavior)
     2. ทฤษฎีการให้ความร่วมมือของ Barnard (Barnard theory of compliance)
     3. ทฤษฎีโครงสร้างขององค์การของ Barnard (Barnard theory of organization structure)
เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
ความคิดเห็นของ Barnard สามารถที่จะนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ทั้งในแง่ขององค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) และไม่เป็นทางการ (Informal Organization) ซึ่งผลงานที่สำคัญของ Barnard คือ Functions of the Executive 1938 จากตรรกะทางความคิดที่ว่า องค์การ คือ ระบบความร่วมมือ ดังนั้น ถ้าจะนำองค์การให้บรรลุเป้าประสงค์ ผู้บริหารจัดการจะต้องทำหน้าที่  3 ประการ คือ
        1.  การสร้างและการดำรงรักษาระบบการสื่อสาร
        2.  สร้างความมั่นใจด้านการบริการจากบุคลากรผู้เป็นสมาชิกองค์การ
กำหนดจุดประสงค์และเป้าหมาขององค์การ
ข้อดี
ข้อเสีย
1. ก่อให้เกิดความร่วมมือ (cooperation)ในองค์การ
1.  องค์การไม่เป็นทางการทำให้ยากต่อการควบคุม (สายการบังคับบัญชาไม่ชัดเจน)
2. การทำงานในองค์การเกิดประสิทธิภาพ
    (Efficiency)
2.  หากบุคลากรขาดทักษะด้านการสื่อสารส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการปฏิบัติงาน
3. บุคลากรสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้
     อย่างทั่วถึง (เน้นระบบการสื่อสาร)
4. องค์การที่ไม่เป็นทางการทำให้การบริหารองค์การ
     มีความคล่องตัวและมีความยืดหยุ่น (Flexibility)
5. บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน

ใช้อย่างไร (หรือจัดทำอย่างไร)
      ทฤษฎีของ Barnard เป็นทฤษฎีการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรม  Barnard  ได้กล่าวถึงหน้าที่ สิ่งที่กระตุ้นจูงใจ (Authority and incentives) เกี่ยวกับบริบทระบบการสื่อสารในองค์กร คือ
      1.  ช่องทางการสื่อสารต้องกำหนดขอบเขตให้แน่นอน
      2.   บุคลากรทุกคนต้องรู้ช่องทางการสื่อสาร
      3.  บุคลากรทุกคนต้องสามารถเข้าถึงช่องทางการสื่อสาร
           ที่เป็นทางการ
     4.  สายบังคับบัญชาการสื่อสารต้องสั้นและตรงให้มากที่สุด
     5.  บุคลากรต้องมีศักยภาพเพียงพอสำหรับการสื่อสาร
     6.  ต้องไม่มีอุปสรรคในสายบังคับบัญชาการสื่อสาร
          เมื่อองค์การปฏิบัติงาน
  7.  การสื่อสารทุกรูปแบบต้องเกิดผลน่าเชื่อถือ
มีใครนำเครื่องมือนี้ไปใช้บ้าง และได้ผลสรุปอย่างไร
         ทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการสร้างระบบความร่วมมือขึ้นระหว่างองค์การกับคน และองค์การกับสภาพแวดล้อม และจูงใจพนักงานให้ร่วมมือกันทำงาน รวมถึงการสร้างดุลยภาพระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เรียบเรียงโดย นายทวินรัตน์ โจมฤทธิ์ เลขที่ 21
 
 

16.แนวคิดและทฤษฎี Lyndall Urwick

แนวคิดและทฤษฎี Lyndall Urwick

Lyndall Urwick

            Lyndall Urwick เกิดเมื่อวันที่  มีนาคม 1891 (.. 2434) ที่ Worchectershireประเทศอังกฤษเป็นชาวอังกฤษสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจาก Oxford  จุดเน้นทฤษฎีองค์กร หรือ Organization Theory  การทำงาน  ตามปกติเมื่อพูดถึง Urwick ก็ต้องพูดถึงGulick พร้อมๆกันเพราะผลงานของทั้งสองเป็นที่โด่งดังในเรื่อง  ทฤษฎีองค์กร หรือorganization theory Urwick เสียชีวิตเมื่อ ธันวาคม1983 (.. 2526)

กระบวนการบริหารตามทฤษฎี 

           เป็นที่กล่าวกันว่าแนวความคิดนี้ประยุกต์เพิ่มเติมมาจากแนวความคิดที่ปรมาจารย์Henri Fayol ท่านบัญญัติเอาไว้โดยต่อยอดให้ชัดเจนขึ้น แนวความคิดจึงค่อนไปทาง  bureaucratic   อยู่บ้างใน The      Theory  of Organization มีคำย่อออกมาสู่สายตาชาวโลก คือ POSDCoRB
          P = Planning หรือ การวางแผน
          O = Organizing หรือการจัดองค์กร
          S = Staffing หรือ การจัดคนเข้าทำงาน
          D = Directing หรือ การสั่งการ
        Co = Co-ordinating หรือการประสานงาน
          R = Reporting หรือ การรายงาน
          B = Budgeting หรือการงบประมาณ
เรียบเรียงโดย นายทวินรัตน์ โจมฤทธิ์ เลขที่ 21

15.แนวคิดและทฤษฎี Harrington Emerson

แนวคิดและทฤษฎี Harrington Emerson


Harrington Emerson

Harrington Emerson   มีแนวคิดได้นำเอาวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาบริหารงานคือ การบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์นั้น จะต้องมีการค้นพบ และทดลองเป็นอย่างดีว่า วิธีการนั้น ได้ผลจริง เมื่อประเมินผล สามารถบอกได้ว่า อะไรเกิดขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อไหร่ จึงนำเอาข้อมูลเหล่านั้น มากำหนดเป็นหลักการบริหาร  ใช้เพื่อปรับปรุงการจัดการกับประสิทธิภาพของคน โครงสร้าง และเป้าหมายขององค์กร เพื่อผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล

องค์ประกอบของหลักประสิทธิภาพ 12 ประการ
1.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน  (Clearly defined ideals)
2.ใช้หลักเหตุผลทั่วไป พิจารณาจากความน่าจะเป็นไปได้ของงาน  (Common sense)
3.ให้คำแนะนำที่ดี ที่ถูกต้องสมบูรณ์  (Competent counsel)
4.รักษาระเบียบวินัยในการทำงาน  (Discipline)
5.ปฏิบัติงานด้วยความยุติธรรม  (Fair deal)
6.มีข้อมูลพร้อมทำงานที่เชื่อถือได้  (Reliable information)
7.มีการรายงานผลการดำเนินงานทุกระยะ  (Dispatching)
8.มีมาตรฐานงานเสร็จตามเวลา  (Standard  and         Schedule)
9.ผลงานได้มาตรฐาน  (Standardized condition)
10.ดำเนินงานถือเป็นมาตรฐานได้  (Standardized operation)
11.มาตรฐานที่กำหนดสามารถปฏิบัติได้  (Standardized directing)
12. ให้บำเหน็บรางวัล แก่ผู้ปฏิบัติงานดี  (Efficiency reward)

ข้อดี และ ข้อเสีย
ข้อดี 
         ด้วยแนวทางการบริหารแบบนี้ เป็นแบบหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ผ่านการทดลองมาหลายครั้ง และประเมินผลแล้ว สามารถพิสูจน์ได้ว่า มีประสิทธิผลเพียงไร ซึ่ง Emerson Harrington ได้นำมาใช้ในการบริหารกว่า 200 องค์กร
ข้อเสีย  
        ด้วยแนวคิดนี้ จะมีการแบ่งงานออกเป็นย่อย ๆ จะถือเอาความรวดเร็ว ให้คนทำงานเฉพาะอย่าง ถือความชำนาญเป็นผลงาน ซึ่งอาจต้องสิ้นเปลืองคน

ใครนำไปใช้ และ ผลสรุปเป็นอย่างไร
Emerson C. Harrington ได้นำไปใช้ในการปรับปรุง พัตนากิจการรถไฟสายแซนทาฟ ให้มีประสิทธิภาพ ปรากฎว่าได้ผลดี สามารถประหยัดเงินได้ถึงวันละ 1 ล้านเหรียญ อเมริกัน
เรียบเรียงโดย นายทวินรัตน์ โจมฤทธิ์ เลขที่ 21

14.แนวคิดและทฤษฎี Oliver Sheldon

แนวคิดและทฤษฎี Oliver Sheldon

OLIVER SHELDON

           Oliver Sheldon มีประสบการณ์ทำงานในการบริหารกองทัพและ Coca Works of Rowntree & Company เขาได้เขียนหนังสือปรัชญาของการจัดการ ในหนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดของเขาในการพยายามชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการจัดการ(Management)และการบริหาร (Administration)
เครื่องมือนี้คืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง
1. การบริหาร (Administration)
  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย การวางแผน และประสานงานในหน้าที่ต่าง ๆ
2. การจัดการ (Management)
  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการนำนโยบายและแผน มาดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดขึ้นไว้
3. หน้าที่ในการจัดองค์การ
  เป็นกระบวนการเพื่อประสานงานระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์กร
เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
            แนวความคิดของเขาในการพยายามชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการจัดการ (Management) และการบริหาร (Administration) นอกจากนี้ยังได้นำแนวความคิดด้านจริยธรรมทางสังคม เข้ามาผสมผสานกับการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ เขาได้กระตุ้นให้องค์การทางธุรกิจจำหน่ายสินค้าควบคู่กับการบริการด้วย และได้เสนอแนวความคิดว่าหลักการจัดการทางอุตสาหกรรมที่ดีจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการบริการเพื่อสังคม จากแนวความคิดนี้ได้กลายมาเป็นวัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจในยุคปัจจุบันในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจุดนี้เองทำให้การจัดการยกย่องและยอมรับความเป็นวิชาชีพ
ข้อดีของSheldon
1. กระตุ้นให้องค์การทางธุรกิจจำหน่ายสินค้าควบคู่กับการบริการ
2. เป็นวัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจในยุคปัจจุบันในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม
3. ทำให้การจัดการยกย่องและยอมรับความเป็นวิชาชีพ
ข้อเสียของ Sheldon
1. งบประมาณในการดำเนินการค่อนข้างสูง
2. สิ้นเปลืองเวลาและบุคลากร
ใช้อย่างไร
Oliver Sheldon  ชาวอังกฤษได้พัฒนาความคิดในเรื่องการจัดการและการบริหารแบ่งการจัดการ เป็น 3 ประการ
1. การบริหาร (Administration)
      เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย การวางแผน และประสานงานในหน้าที่ต่าง ๆ
2.การจัดการ (Management) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการนำนโยบายและแผน มาดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดขึ้นไว้ หน้าที่ในการจัดองค์การ
3. เป็นกระบวนการเพื่อประสานงานระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์กร 
เรียบเรียงโดย นายทวินรัตน์ โจมฤทธิ์ เลขที่ 21

13.แนวคิดและทฤษฎี Peter F.Drucker

แนวคิดและทฤษฎี Peter F.Drucker

Peter F.Drucker


              Peter F. Drucker ปรมาจารย์ทางด้านการจัดการเสียชีวิตไปเมื่อ 11พฤศจิกายน2548 ด้วยวัย 95 ปีตลอดระยะเวลาการใช้ชีวิตเกือบทศวรรษของ Drucker ได้รับการยอมรับจากสังคมในฐานะผู้นำเสนอความรู้ใหม่ให้กับโลกธุรกิจและด้านการจัดการออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งครั้งใดที่เขาออกมาแสดงบทบาทมักจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งนักบริหารธุรกิจในภาคเอกชน ภาครัฐ และรวมทั้งนักบริหารจากองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร และนำแนวคิดนั้นมาวางแผนบริหารธุรกิจของตนเอง ชื่อเสียงของ Drucker เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างตั้งแต่เขาตีพิมพ์หนังสือเล่มแรก The End of Economic Man, The Origin of Totalitarianism ในปี 1939 ซึ่งเป็นหนังสือเล่มโปรดของ Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ 6ปีจากนั้นเริ่มสร้างชื่อให้เป็นที่ยอมรับในโลกธุรกิจและการจัดการจากหนังสือเรื่อง Concept of the Corporation และโด่งดังสุดๆกับ The Practice of management หนังสือการจัดการองค์กรสมัยใหม่ที่ยังนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กรต่างๆได้จนกระทั่งปัจจุบัน
           18 Famous Quotes by Peter F. Drucker “Quality in a product or service is not what the supplier puts in. It is what the customer gets out and is willing to pay for. A product is not quality because it is hard to make and costs a lot of money, as manufacturers typically believe. This is incompetence. Customers pay only for what is of use to them and gives them value. Nothing else constitutes quality.” Quality Quotes 
     “Commitment in the face of conflict produces character.” Commitment Quotes
     “Efficiency is doing things right; effectiveness is doing the right things.” Efficiency Quotes
     “Mentor: Someone whose hindsight can becomeyour foresight” Foresight Quotes
เรียบเรียงโดย นายทวินรัตน์ โจมฤทธิ์ เลขที่ 21

12.แนวคิดและทฤษฎี Micheal Hammer

แนวคิดและทฤษฎี Micheal Hammer

แนวคิดและทฤษฎี Micheal Hammer
Michael Hammer


ความเป็นมา
       Michael Hammer เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1948 and James Champy ผู้มีแนวคิดกับการ Re-Engineering กล่าวคือวงการธุรกิจในอเมริกา กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ต้องแสวงหาวิธีการใหม่ ที่พลิกฟื้นสถานการณ์โดยเร็วที่สุด ซึ่งมีพลังผลักดัน ประการคือ (1) ลูกค้า (Customer) (2) การแข่งขัน (Competitions) และ (3) การเปลี่ยนแปลง (Change) ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนในหมู่นักบริหารปัจจุบัน ตลอดจนได้มีการเปลี่ยนกรอบเค้าโครงของความคิด ( Paradigm )จากที่เคยเฉื่อยชา ต้องเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ( Globalization ) ความหมายและแนวคิด ดร.รุ่ง แก้วแดง ได้อธิบายความหมายของคำว่า การรื้อปรับระบบไว้ในหนังสือ รีเอ็นจิเนียริ่งระบบราชการไทย ตามแนวคิดของ Hammer กับ Champy และหนังสือReengineering the Corporation ของ แฮมเบอร์กับแชมปี แปลโดยปริทรรศน์ พันธุบรรยงก์ ว่าการรื้อปรับระบบ หมายถึงการพิจารณาหลักการพื้นฐานของธุรกิจและการคิดหลักการขึ้นใหม่ ชนิดถอนรากถอนโคน ปรับกระบวนการธุรกิจใหม่เพื่อให้บรรลุถึงผลลัพธ์ของการปรับปรุงอันยิ่งใหญ่ คือ เป้าหมายขององค์กร โดยใช้ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานที่ทันสมัยและสำคัญที่สุดใน ด้าน คือ ต้นทุน คุณภาพ การบริการ และความเร็ว โดยมีคำศัพท์ที่เป็นหัวใจสำคัญของรื้อปรับระบบ คำศัทพ์คือ
การรื้อปรับระบบ
Rethink
Redesign
Retools
Rehumaneering
เรียบเรียงโดย นายทวินรัตน์ โจมฤทธิ์ เลขที่ 21
 
 

11,แนวคิดและทฤษฎี Edward Damming

แนวคิดและทฤษฎี Edward Damming

Edward Damming

ดับเบิ้ลยู เอ็ดเวิร์ดส เดมมิ่ง (W. Edwards Deming) เป็นผู้นำแนวความคิดเชิงสถิติ (Statistical Thinking) และวิธีการปรับปรุงคุณภาพ (Methods for Quality Improvement) มาสู่ประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ ในช่วงเวลานั้นวงการอุตสาหกรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา เติบโตเป็นอย่างมาก เนื่องจากอเมริกาเป็นผู้ชนะสงคราม สินค้าทุกชนิดที่สามารถผลิตได้ ก็จะสามารถขายได้แน่นอน ต่างจากสถานการณ์ของญี่ป่นซึ่งเป็นผู้แพ้สงคราม ฐานสำคัญของอุตสาหกรรมซึ่งได้รับความเสียหายจากระเบิดปรมาณู กำลังถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ ทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับความเสียหายก็มีน้อยลง และชื่อเสียงในการผลิตสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ ก็แพร่กระจายไปทั่ว ผู้บริหารของญี่ปุ่นจึงได้หันมาสนใจในแนวความคิดของเดมมิ่ง และได้เชิญเขามายังญี่ปุ่น ซึ่งผู้บริหารของญี่ปุ่นได้ทำความเข้าใจกับปรัชญาคุณภาพของเดมมิ่ง และนำหลักการทางสถิติมาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพ

           เดมมิ่งพบว่าบรรยากาศของญี่ปุ่น เป็นไปในทางที่จะสนับสนุนแนวความคิดของเขา นั่นคือ ชาวญี่ปุ่นมีพื้นฐานทางสถิติและคณิตศาสตร์ที่ดี ผู้บริหารของญี่ปุ่นมีความกระตือรือร้น ที่จะฟังความคิดของเขา สิ่งแรกที่เขาบรรยายในการสัมมนา คือ กฎข้อบังคับและหน้าที่ของผู้บริหาร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม ปรัชญาคุณภาพ 14 ข้อของเดมมิ่ง(Deming’s 14 Points) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารจะต้องยึดถือและปฏิบัติเป็นอันดับแรก
ปรัชญาคุณภาพ 14 ข้อของเดมมิ่ง (Deming’s 14 Points)
1. สร้างวัตถุประสงค์แน่วแน่ในการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการ
2. นำเอาปรัชญาใหม่มาใช้: การไม่ยอมรับความไม่มีคุณภาพ
3. หยุดใช้หลักการตรวจสอบคุณภาพที่ตัวสินค้า: ปรับปรุงที่กระบวนการทำงาน
4. หยุดเลือกผู้ส่งมอบสินค้าที่ราคาถูกแต่เลือกโดยเน้นที่คุณภาพ
5. เป็นหน้าที่หลักของการจัดการที่จะปรับปรุง กระบวนการทำงาน สินค้า และบริการอย่างต่อเนื่อง
6. จัดให้มีการอบรม
7. จัดให้มีการพัฒนาผู้นำ: ช่วยเหลือ ชี้แนะ
8. กำจัดความเกลียดกลัว สอนให้กล้าถาม กล้าเสนอความเห็น กล้าคิดและกล้าทำ
9. กำจัดอุปสรรคการทำงานระหว่างส่วนงาน: สอนให้ทำงานเป็นทีม โดยคำนึงถึงวัตุถประสงค์และเป้าหมายองค์กรมากกว่าวัตถุประสงค์ของสายงานหรือส่วนงาน
10. เลิกใช้ Slogan ภาพรวมสำหรับพนักงาน: หากพนักงานทำงานเป็นทีมและต้องการมีSlogan ของทีม องค์กรต้องยอมให้ทำได้
11. เลิกเน้นที่จำนวนตัวเลข: เน้นที่คุณภาพ
12. กำจัดอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย: ไร้ภาวะผู้นำ ขาดการการอบรมที่เพียงพอ ขาดเครื่องมือ หรือกระบวนการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
13. จัดให้มีการให้ความรู้และอบรมแก่พนักงานทุกระดับทั้งผู้บริหารและพนักงานต้องมีการอบรมเรื่อง Total quality เครื่องมือทางสถิติ และการทำงานเป็นทีม
14. ลงมือทำ เพื่อให้การปรับเปลี่ยนองค์กร: คุณภาพเป็นเรื่องของทุกคน ทั้งผู้บริหารสูงสุด จนถึงพนังงานระดับล่างสุด ผู้นำต้องมีความมุ่งมั่นและสนับสนุนเรื่องคุณภาพ
วงจร PDCA  หรือ  วงจรเด็มมิ่ง




                                  PLAN   วางแผน
-  วางแผนการปฏิบัติงาน
-  วางแผนการดำเนินงาน
-  วางแผนการปรับปรุงงาน
                                    DO ปฏิบัติ
-  ทำให้ถูกต้อง
-  ตรวจสอบทุกขั้นตอน
                                                CHECK  ตรวจสอบ
-  ตรวจสอบวิธีการ
-  ตรวจสอบระยะเวลา
-  ประเมินผลการดำเนินงาน
                                                             ACTION  ปรับปรุง
-  ประสบความสำเร็จ
-  ข้อบกพร่อง
-  การปรับปรุง
ข้อดีของ  PDCA
-  สามารถจัดการงานประจำวันได้ดีขึ้น
-  สามารถแก้ไขปัญหาได้
-  ช่วยในการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
-  ช่วยปรับเปลี่ยนการทดอลงกระบวนการใหม่
 
เรียบเรียงโดย นายทวินรัตน์ โจมฤทธิ์ เลขที่ 21